ผมศึกษาการปฏิบัติธรรมในประเทศไทยมาตั้งแต่อายุประมาณ
20 ปี ที่ว่าศึกษานั้น หมายถึงว่า ทั้งอ่านหนังสือและก็ปฏิบัติไปด้วย
จำได้ว่า
สมัยนั้น มักนิยมแบ่งการปฏิบัติธรรมออกตาม “คำภาวนา”
ดังนั้น ก็จะแบ่งสายปฏิบัติธรรมออกเป็นสายพุทโธ สายนะมะพะทะ สายยุบหนอพองหนอ
และสายสัมมา อะระหัง เป็นต้น
ในระยะหลังนี้
สาวกของพระพม่า โฆษณาว่า ในการปฏิบัติธรรมแบบของพระพม่าจะทำให้บรรลุมรรคผลได้ภายใน
7 ปี 7 เดือน 7 วัน
พวกนิยมของ
“แดกด่วน” แบบโง่ดักดาน
ก็ตาลีตาเหลือกเข้าไปปฏิบัติกันมากมาย
คำโฆษณาของสาวกพระพม่าที่ว่า
ถ้าปฏิบัติแล้วจะบรรลุมรรคผลภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วันนั้น พระพม่าไม่ได้คิดเอง
แต่ไปเอามาจากสติปัฏฐานสูตร
อย่างไรก็ดี
สาวกของพระพม่าและพระพม่าเองก็ไม่เห็นจะมีใครบรรลุมรรคผลภายใน 7 ปี 7 เดือน
7 วันสักคน เอาแค่ใกล้เคียงก็ไม่มี
นั่นก็แสดงว่า
พระพม่ากับสาวกจะต้องเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของท่านแน่ๆ
สติปัฏฐาน 4
เป็นหลักธรรมที่อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร เป็นข้อปฏิบัติเพื่อรู้แจ้ง
คือเข้าใจตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวงโดยไม่ถูกกิเลสครอบงำ สติปัฏฐานมี 4 ระดับ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม
คำว่าสติปัฏฐานนั้น มาจาก (สร ธาตุ + ติ ปัจจัย + ป
อุปสัคค์ + ฐา ธาตุ) แปลว่า สติที่ตั้งมั่น, การหมั่นระลึก, การมีสัมมาสติระลึกรู้นั้นพ้นจากการคิดโดยตั้งใจ
แต่เกิดจากจิตจำสภาวะได้ แล้วระลึกรู้โดยอัตโนมัติ
โดยคำว่า สติ หมายถึงความระลึกรู้
เป็นเจตสิกประเภทหนึ่ง ส่วนปัฏฐานแปลได้หลายอย่างแต่ในมหาสติปัฏฐานสูตรและสติปัฏฐานสูตร
หมายถึง ความตั้งมั่น, ความแน่วแน่, ความมุ่งมั่น
โดยรวม คือ เข้าไปรู้เห็นในสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
ตามมุ่งมองของไตรลักษณ์หรือสามัญลักษณะ โดยไม่มีความยึดติดด้วยอำนาจกิเลสทั้งปวง
ได้แก่
|
ข้อความด้านบนนี้ พอยอมรับได้
ข้อความต่อไป ยอมรับไม่ได้เลย คนที่เอาความหมายนี้มาขึ้นไว้ในวิกิพิเดีย
น่าจะเป็นพวกโง่แล้วขยัน
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน
ซึ่งกายในที่นี่หมายถึงประชุม หรือรวม นั่นคือธาตุ 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟมาประชุมรวมกันเป็นร่างกาย
ไม่มองกายด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา แต่มองแยกเป็น
รูปธรรมหนึ่งๆ เห็นความเกิดดับ กายล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน
ไม่มองเวทนาด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา เขา
คือ ไม่มองว่าเรากำลังทุกข์ หรือเรากำลังสุข
หรือเราเฉยๆ แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ เวทนาล้วนไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน
เป็นการนำจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือรู้จิตก็ได้ ไม่มองจิตด้วยความเป็นคน สัตว์ เรา
เขา
คือไม่มองว่าเรากำลังคิด เรากำลังโกรธ
หรือเรากำลังเหม่อลอย แต่มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนึ่ง เห็นความเกิดดับ จิตล้วนไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน
ทั้งรูปธรรมและนามธรรมล้วนมีความเกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา
|
คำว่า กายานุปัสสนา มาจาก กาย + อนุ + ปัสสนา คำว่า เวทนานุปัสสนา
จิตตานุปัสสนา และ ธัมมานุปัสสนา ก็เช่นเดียวกัน
อนุ + ปัสสนา แปลว่า “ตามเห็น”
การแปลสติปัฏฐาน 4 แบบด้านล่างนี้
การมีสติระลึกรู้กายเป็นฐาน
การมีสติระลึกรู้เวทนาเป็นฐาน
การมีสติระลึกรู้จิตเป็นฐาน
การมีสติระลึกรู้สภาวะธรรมเป็นฐาน
|
คนแปล แปลมั่วสุดๆ ไม่ได้เป็นไปตามหลักภาษาศาสตร์ แปลตามหลักของกูเท่านั้น
ความเข้าใจเกี่ยวกับสติปัฏฐาน 4 ยังมีมากกว่านี้ สนใจก็อ่านในบล็อกด้านล่างนี้
สติปัฏฐาน
4
|
01.
ดร. สนองกับยุบหนอพองหนอ http://sanongphongyup.blogspot.com
|
02.
กายในกายคืออะไร http://whatisbodyinbody.blogspot.com
|
03.
กายในกายภายในภายนอก http://bodyinbodyinandout.blogspot.com
|
04.
กายธรรมสติปัฏฐาน http://kaithamsatipatthan.blogspot.com
|
05.
สติปัฏฐาน 4
ไม่เป็นวิปัสสนา http://satipatthan.blogspot.com
|
06.
พระพม่าตาบอด http://blindburmamonk.blogspot.com
|
07.
ความหลงผิดของพระพม่า http://burmamonkbemisguided.blogspot.com/
|
08.
สติปัฏฐานได้เพียงสติสัมปชัญญะ http://satisampachanya.blogspot.com
|
09.
เอกายนมรรค!!! http://akayanamak.blogspot.com
|
10.
มักกะลีผล http://makkaliphol.blogspot.com/
|
11.
นารีผล http://nareephon.blogspot.com/
|
12.
มหาสีสยาดอ http://Mahasisayadau.blogspot.com
|
13. มหาโชดก http://mahachodok.blogspot.com/
|
15.
แนบ มหานีรานนท์ http://neapnamruup.blogspot.com
|
16.
โกเอ็นกา http://koenga.blogspot.com/
|
17. หลวงพ่อเทียน http://luangphotian.blogspot.com/
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น